ระยะหลัง ๆ นี้ผมไม่ค่อยได้อยู่ที่เมืองไทยเนื่องจากย้ายมาทำงานต่างประเทศ ทำให้พอจะมีเวลาอยู่กับตัวเอง ได้ครุ่นคิดถึงสิ่งที่ผ่านมาในวงการอินเทอร์เน็ตไทยแบบคนนอกมองคนในมากยิ่งขึ้น ผมคิดว่านะ…ผมคิดว่าผมได้เห็นอะไรบางอย่างเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตไทยในประเด็นที่ว่า “ทำไมธุรกิจด้านอินเทอร์เน็ตไทยถึงไม่ค่อยเวิร์ค” ในขณะที่ประเทศโลกที่หนึ่งเขาโตเอา ๆ แต่บ้านเราไม่โตเอาซะเลย
หลายคนอาจจะสงสัยว่า ผมนิยามคำว่า ‘ไม่เวิร์ค’ ไว้อย่างไร ก็ขอเรียนคุณ ๆ ไว้ในที่นี้ว่า ‘ไม่เวิร์ค’ ของผมมีนัยยะทางเศรษฐกิจและการเงินครับ ผมเน้นที่บริษัทที่ประกอบการด้านอินเทอร์เน็ตสัญชาติไทยไม่สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศได้เท่าไหร่ ในทางธุรกิจพูดง่าย ๆ ก็คือสร้างรายได้ไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไหร่ รายที่ทำได้ก็น้อยเหลือเกิน ต้องอาศัยรายได้อื่นเสริม เช่น ทำเว็บขายแบนเนอร์อย่างเดียวไม่พอ เดี๋ยวนี้ต้องขาย audiotex พ่วง ต้องขาย mobile content ประเภท Logo, ringtone, Calling melody ระยะหลัง ๆ นี้มีเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย เช่น ตัวกลางโฆษณาเอา API โฆษณามาแปะในเว็บแล้วแชร์เงินกันไป อย่างเมืองนอกที่เข้ามาเมืองไทยก็มี Google AdSense เมืองไทยก็มี Nipa หาบริษัทที่จะจัดตั้งทำด้าน Dot-com จริงลำบากมาก
บริษัทที่ถือว่าเป็นผู้ประกอบการอินเทอร์เน็ตบ้านเราก็มีหลายแบบครับลองไล่เรียงกันดู เขาทำอะไรกันบ้าง (ถ้าผมตกหล่นไปก็ช่วยเติมหน่อยนะครับ)
1. Internet Service Provider (ISP) ก็มัวแต่ทำสงครามราคา แต่ไม่ได้มองที่มูลค่าแท้จริงในการลงทุนกันเท่าไหร่เลย ตอนนี้มีแต่ความพยายามที่ว่าจะทำอย่างไรให้ได้ subscriber ให้มากที่สุดไปแล้ว ส่วนตัวแล้วผมไม่เคยเห็นรายได้ที่แท้จริงจาก B2c เลยครับ มีแต่ B2B ที่บรรดาพี่ ๆ ISP เขาเข้าไปขาย leased line ให้กับบริษัทต่าง ๆ ที่ต้องการระบบเครือข่าย และบริการอินเทอร์เน็ตในออฟฟิศเท่านั้นเอง ตอนนี้อยู่ที่ว่าใครสายป่านยาวกว่ากัน แล้วใครจะให้บริการได้ดีกว่ากันภายใต้สงครามบ้าเลือดนี้
2. Online advertising agency (บริษัทตัวแทนโฆษณา) บ้านเราเมื่อก่อนนี้ก็มีไม่กี่บริษัท ตอนนี้เริ่มขยับตามกันมาเรื่อย ๆ เพราะรายได้จากการโฆษณามันเห็นกันชัด ๆ เน้น ๆ เนื้อ ๆ บริษัทรับทำเว็บทั่ว ๆ ไปเมื่อก่อนนี้ก็ปรับตัวกลายมาเป็นบริษัทตัวแทนโฆษณากันมากขึ้น บริษัทตัวแทนโฆษณารายใหญ่ ๆ ก็ตั้งบริษัทลูกขึ้นมารองรับเยอะแยะ เช่น SC Matchbox ก็สร้าง Adaptor ขึ้นมา
3. Software House ที่ทำ Online application/ บริษัทรับทำเว็บ/ บริษัทเกมออนไลน์/ บริษัท Mobile content/ บริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น แผนที่ ไดเร็คทอรี่ ฯลฯ
4. บริษัทแนว Brick & Mortar คือบริษัทดั้งเดิมที่ต้องการใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตในเชิงกลยุทธ์ทางธุรกิจ อาจจะเปิดเว็บขึ้นมารักษาฐานลูกค้า หรืออำนวยความสะดวกในการทำ distribution และการขาย ตัวอย่างชัด ๆ ก็เช่น Manager.co.th เว็บของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการที่อัพเดทข่าวให้เรา ๆ ท่าน ๆ อ่านกันได้ 24 ชั่วโมง (จนกลายเป็นเว็บข่าวที่คนติดตามมากที่สุด)หรืออย่าง Blog OK Nation ของกลุ่มเนชั่น หรืออย่างเว็บ YellowPages.co.th ของ Thailand Yellow Pages ที่เปิดเว็บขึ้นมาเพื่อให้ผู้ใช้ที่ต้องการค้นหาเบอร์โทรศัพท์ของบริษัทร้านรวงต่าง ๆ สะดวกมากขึ้น
5. บริษัทแนว Dot Com เพียว ๆ (และเป็นบริษัทในแนวที่ผมต้องการพูดถึงในบทความนี้) มักจะทำเว็บไซต์เป็นผลิตภัณฑ์หลัก และทำตัวเป็น Online media มักจะให้บริการฟรีกับผู้ใช้เว็บไซต์ จะขอชาร์จบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ ผ่านมือถือ เช่น Sanook.com Kapook.com ThaiSecondhand.com
แต่ทั้งหมดที่ผมบอกมา แทบทั้งสิ้นแบ่งรายได้ออกเป็นสามส่วน คือ
1.โฆษณาออนไลน์
2.ค่าบริการจัดจ้างจัดทำ เช่น เว็บไซต์, Software
3.รายได้อื่น ๆ จากผู้บริโภค เช่นบริการ VoIP สำหรับคนไทยไกลบ้าน หรือชาร์จผ่าน SMS ว่ากันไป
ซึ่งทั้งสามส่วนนี้ ตามหลักการทั่ว ๆ ไปแล้วน่าจะทำรายได้ดีกว่านี้ แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ผลการรายงานมูลค่าอีคอมเมิร์ซในเมืองไทยที่ว่า 2 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่ก็เกิดจากการเปิดประมูลภาครัฐที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงอยู่แล้วเท่านั้นเอง นั่นหมายความว่ามูลค่าอีคอมเมิร์ซ และธุรกิจอินเทอร์เน็ตในไทยเอาเข้าจริง ๆ มันน้อยครับ ยิ่งบริษัทแนว Dot-com เพียว ๆ บริษัทเหล่านี้ share ส่วนแบ่งการตลาดจากสื่อเดิม ๆ ไปได้นิดเดียว 1-2% เท่านั้นเอง
ทั้งหมดนี้จะบอกว่ามันเป็นเพราะความเชื่อมั่นของนักลงทุนน้อยครับ จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตของบ้านเราจากการประมาณของผมเองมีทั้งหมดน่าจะประมาณ 10-12 ล้านคนซึ่งไม่ถึงกับเยอะมาก แต่มันก็ไม่น้อย ถ้าพูดถึงทุนจดทะเบียนของบริษัท Dot-com บ้านเราที่ผมเคยเห็นมาสูงสุดก็คือ 200 ล้านบาท (คิดว่าทราบกันอยู่แล้วนะครับว่าบริษัทไหน สามารถเข้าไปเช็คได้จากเว็บไซต์กระทรวงพาณิชย์ครับ) นอกนั้นก็มีบ้างที่เป็น 10 ล้าน บ้าง 6 ล้านบาท บ้างก็ 1 ล้านบาทเท่านั้น และยังมีอีกเยอะ ส่วนใหญ่ที่เจอ ๆ มาจะเป็นแค่หลักแสน หรือไม่อยู่ในรูปแบบพาณิชย์ใด ๆ เลยก็มี เพราะอินเทอร์เน็ตเริ่มต้นได้ง่ายไม่ต้องใช้ทุนเยอะ ผมบอกได้เลยว่าบริษัทเว็บหางานชื่อดังเว็บหนึ่งในเมืองไทยถือหุ้นโดยนักธุรกิจมีชื่อ มีทุนจดทะเบียนแค่แสนบาทเองนะครับ ดังนั้นการเติบโตของ Dot-com บ้านเรานั้นมีโอกาสแต่จะต้องมีคนเชื่อมั่นและให้โอกาส
ถ้าเรามองว่าเศรษฐกิจคือ การกระทำใด ๆ อันก่อให้เกิด การผลิต การจำหน่ายและการบริโภค ทุกอย่างในขั้นตอนการผลิตก็จะต้องตีค่าเป็นเงินได้ มีราคาค่างวดในการจำหน่าย และได้รับคืนในรูปแบบของราคาสินค้า
แต่บริษัทอินเทอร์เน็ตแนว Dot-com ไม่ต้องบอกว่าแค่เมืองไทยนะครับ แต่แทบจะทั้งโลกมันเป็น ‘Free media’ สำหรับผู้ใช้ไปแล้ว รายได้ที่มีจึงเป็นรายได้ที่มาจากโฆษณาเป็นส่วนใหญ่ แต่ตัวเว็บไซต์เองไม่ได้เป็นปัจจัยทางเศรษฐกิจ เพราะมันไม่ได้มีราคาค่างวดอะไร คุณผู้อ่านอาจจะเถียงว่า ไม่จริงหรอกแล้วทำไมเมืองนอกมีล่ะ แน่นอนครับ บริษัท Dot-com ในเมืองนอกมีบริษัทประเภท Venture capital คอยช่วยเหลือในการลงทุนเบื้องต้น คอยประคองคุณ จนบางบริษัทเข้า NASDAQ หรือตลาดหลักทรัพย์อื่น ๆ สำเร็จ ทุกอย่างจึงมีการตีราคาออกมาได้
สำหรับผม ผมมองว่าวงการอินเทอร์เน็ตไทยยังโตได้อีกเยอะ แต่จะต้องสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนด้วยการที่บริษัท Dot-com ดังกล่าวจะต้องมีรูปแบบธุรกิจที่สร้างรายได้ได้จริงและได้รับความนิยมจากผู้ใช้และเดินเข้าตลาดหลักทรัพย์อย่าง MAI จากนั้นวงการ Dot-com จะมี ‘ฮีโร่’ที่ทำให้คนอื่นเชื่อว่าในที่สุดก็มีคนทำได้ และเมื่อมีเบอร์หนึ่ง ก็จะมีเบอร์สอง เบอร์สาม เบอร์สี่ตามมาเรื่อย ๆ
ผมยังมองเรื่องของการประสานกันของ Internet กับ Mobile Device เพราะ Mobile Device ใกล้ตัวกว่า การนำ Content บางอย่างบน Net มาปรับเพื่อใช้บน Mobile Devices หรือการ Integrate Online กับ Mobile Marketing Strategy น่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกับคนไทยในระยะเวลานี้และอีกสัก 2 -3 ปี รวมทั้งการหารายได้จาก 2 แหล่งที่ว่ามา แต่อาจจะต้องอาศัยเงินทุนเพิ่มบ้างครับ ก็คงต้องคำนวณ ROI ว่าคุ้มมั้ยครับ
นอกจากนี้ ถ้าทำ Offline อยู่แล้วได้ก็ยิ่งดี เพราะเป็นการเสริมความมั่นใจให้ผู้บริโภคครับ
เขียน Comment ใน Entry นี้ตั้งหลายบรรทัด เมื่อหลายอาทิตย์ก่อน ไม่เห็นแสดงเลย สงสัยกลายเป็น Spam ไปแล้ว
พี่ครับ
ช่วยแนะนำ บริษัท ที่ให้เราเป็น partner ของ mobile content
คือผมมีเว็บไซต์ และต้องการให้คนเข้าเว็บไซต์มาโหลด เพลง รูป อะไรประมานนี้อ่ะครับ
โดยเราขอส่วนแบ่งจากเค้าน่ะครับ
ช่วยบอกที่อีเมล์ จะขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ
ขอบคุณครับ