เมื่อวานเปิดไปอ่านบล็อก “คนชายขอบ” Fringer.org ของคุณสฤณี อาชวานันทกุล หรือ “พี่ยุ้ย” ตอนการเดินทางของ “คนชายขอบ” & ไฟล์เสียงจาก “คนหัวรั้น” ท่านอื่น ซึ่งพูดถึงประสบการณ์ส่วนตัวในการทำงานก่อนที่จะมาเป็นนักเขียน นักแปล มีชื่ออย่างปัจจุบันนี้
ลำพังถ้าเป็นประสบการณ์ของคนทั่วๆ ไป ก็อาจจะเฉยๆ แต่เรื่องราวของผู้หญิงคนนี้มีแง่คิดที่น่าสนใจในเรื่องของ Passion และความมุ่งมั่นดีครับ
พี่ยุ้ยจบจากมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงทั้งตรีที่ Harvard และโทที่ NYU ผ่านงานบริษัททั้งในและต่างประเทศ ทิ้งแพคเกจเงินเดือนซึ่งผมเชื่อว่า “มหาศาล” เพราะบริษัทที่พี่ยุ้ยเคยทำนั้นดังๆ ระดับโลกทั้งนั้น รวมทั้งเลิกการทำงานในระดับผู้บริหาร หันมาเป็นคนเขียนหนังสืออย่างเต็มตัว… พอผมอ่านจบ ฟังไฟล์เสียงแล้ว ก็มีคำถามผุดพรายขึ้นในใจ ผมเลยเขียนถามพี่ยุ้ยไปในบล็อก และพี่ยุ้ยก็ตอบมาในบล็อกเลย ทำให้ผมได้มุมมองอะไรใหม่ๆ เพิ่มด้วยอย่างคาดไม่ถึง เลยขออนุญาตพี่ยุ้ยเอามาแชร์ที่นี่ให้คุณผู้อ่านได้อ่านกันด้วยครับ ลองดูนะครับ ผมว่าคุ้มค่าจริงๆ (อ่านบล็อกและฟังไฟล์เสียงก่อนนะครับ)
ถ้าอ่านบล็อกของพี่ยุ้ยจบแล้วอ่านคำถามผมได้เลยครับ
Q: ขอบคุณสำหรับ Blog post นี้นะครับ ได้ฟังไฟล์เสียงบรรยายถึงประสบการณ์การทำงานของพี่ยุ้ยคราวนี้ ทำให้รู้จักตัวตนพี่ยุ้ยมากขึ้นครับ ชอบตรงที่พี่ยุ้ยพูดว่า “ตอนไปทำงานตอนเช้า ก็นึกแล้วว่าจะเขียนเรื่องอะไรดี ก็รู้สึกว่ามันไม่แฟร์กับบริษัทล่ะ รู้ว่าต้องลาออก”(ขอโทษทีนะครับในเครื่องหมาย “” อาจจะไม่ตรงที่พูด 100% แต่จำได้ว่าประมาณนี้) เพราะคนเราลงว่าถ้ามันมี passion กับอะไรสักอย่างจริงๆ passion นั้นมันจะฝังอยู่กับตัวเราจนเราร้อนรุ่มจนต้องทุ่มให้กับมันไม่วันใดก็คงวันหนึ่ง
มีคำถามครับ แล้วตอนที่พี่ยุ้ยคิดว่าจะลาออกมาเขียนหนังสืออย่างเดียวตอนนั้นลำบากใจไหม คือรู้ๆ กันอยู่ว่าการเป็นนักเขียนนักแปลในเมืองไทย รายได้ไม่ได้เยอะมาก พี่เคยทำงานรายได้มหาศาลมาก่อน (ดูจากรายชื่อบริษัทที่พี่เคยทำ ลองถามเพื่อนดูแล้วก็รู้เลยว่าเรตเงินเดือนมหาศาลมากๆ) หรือว่า…สำหรับพี่แล้วเงินเดือนที่เคยได้ไม่มีความหมายอะไรถ้าหากว่าเราไม่ ได้มีความสุขเท่ากับเวลาที่เราได้เขียนหนังสือ งานสอนและงานทำวิจัย คือชอบอะไรก็ทำอย่างนั้นเท่านั้น? แล้วชีวิตเรามันจะขาดหลักประกันอะไรไปเยอะไหมครับ ไม่ว่าจะเป็นพวกประกันชีวิต พวกหลักประกันสังคม ฯลฯ
A: อืม คิดว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนที่กล้าเสี่ยงขนาดนั้นนะ ตอนที่ลาออกจากงานประจำที่สุดท้ายเมื่อปลายปี 2007 ก็ค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าจะมีรายได้ค่อนข้างมั่นคงจากการแปลหนังสือ เขียนหนังสือ สอนหนังสือ และทำวิจัย สี่อย่างนี้ทุกปี ถ้าพี่เขียนหนังสืออย่างเดียวคงลำบาก เพราะไม่มีอะไรแน่นอน (ตื่นมาอาจจะไม่มี “อารมณ์เขียน” ก็ได้) แต่อีกสามอย่างมันมีรายได้มั่นคง และเนื่องจากพี่ทำทั้งสี่อย่างนี้อย่างสม่ำเสมอ(มาก) รายได้ก็ไม่ได้น้อยกว่าสมัยทำไอบีขนาดนั้นแล้ว โดยเฉพาะในเมื่อตอนนี้เริ่มมี back catalog คือมีหนังสือมากพอที่ทุกปีน่าจะมีบางเล่มได้จะพิมพ์ใหม่อยู่เรื่อยๆ คือมันมีรายได้มากพอที่จะสร้าง “หลักประกัน” ของตัวเองน่ะ ไม่ว่าจะเป็นเงินเก็บ ประกัน ฯลฯ 🙂
แต่ทั้งนี้เรื่อง lifestyle ก็น่าจะมีส่วนมากเหมือนกัน ถ้าพี่ใช้ lifestyle แบบชาวไอบี เช่น ไปเที่ยวรีสอร์ตแพงๆ ทุกเดือน กินข้าวร้านหรูทุกสัปดาห์ เข้าบาร์กินเหล้าแพง ฯลฯ แบบนี้ก็คงตัดใจทิ้งเงินเดือนมหาศาลได้ยาก 😉
พี่ว่ารายได้เป็นเรื่องสำคัญไม่ว่าจะทำอะไร เพราะถ้ารายได้น้อยมากมันก็มีความสุขยาก แต่ถ้าเรารักสิ่งที่ทำและบริหารจัดการการเงินเป็น (คือพยายามทำในทางที่มีรายได้) เราก็จะทำสิ่งนั้นเยอะๆ โดยอัตโนมัติ และยิ่งเราทำเยอะ รายได้มันก็น่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เอง
– – – – –
สำหรับคุณผู้อ่านที่อ่านแล้วชอบ ผมแนะนำให้อ่านหนังสือ “พลังของคนหัวรั้น” (The Power of Unreasonable People) เล่มนี้ของพี่ยุ้ยเพิ่มเติมครับ เป็นหนังสือที่ทำให้เราเข้าใจคำว่า Social Entrepreneur ได้ดีขึ้น คนที่คิดจะทำธุรกิจของตัวเองน่าจะได้อ่านกันครับ
น่าสนอีกแล้ว หนังสือเล่มนี้ มีคิวสือหนังสือ สามสี่เล่มแล้วสิน่ะเดือนนี้
เก่งได้อีก ของ ดร. ภูวรรณ, หนังสือแปล napkin กับ presentation zen
แต่ว่าหหนังสืออ่านสอบ Cert. ยังไม่ได้แตะเลย เฮ่อๆ
ขอบคุณที่แวะมาให้กำลังใจสม่ำเสมอ พี่แนะว่าอ่านทีละเล่มครับ จัดลำดับความสำคัญว่าเล่มไหนน่าสนใจที่สุดแล้วก็อ่านก่อน เพราะมันจะทำให้อ่านได้เร็ว ได้รับรู้อะไรใหม่ๆ เร็วขึ้น ส่วนเล่มที่อ่านลำบากก็ไว้ทีหลัง