สวัสดีครับ
พอดีช่วงวีคเอนด์ที่นี่ผมไม่ค่อยมีอะไรทำ งานอดิเรกของผมก็คือการเดินร้านหนังสือ สายตาก็สอดส่องไปเจอเจ้านิตยสาร Newsweek ฉบับล่าสุดเข้า เจอคนที่ขึ้นปกคือ เจฟฟ์ เบโซส์ (Jeff Bezos) CEO ของ Amazon.com พูดถึงสินค้าตัวใหม่ล่าสุดของเขาก็คือ e-book reader ที่ชื่อว่า Kindle
ขโมยภาพมาจากเว็บของออย Duocore.tv อีกที
ในเมืองไทย ผมเห็นมีคนเริ่มเขียนถึง Kindle กันหลายคนแล้วนะครับ ไม่ว่าจะเป็นที่ผู้จัดการออนไลน์ ที่ Blognone และที่เว็บของออย Duocore.tv
ใจความรวมๆ ของเว็บด้านบนที่ผมอ้างถึงก็จะพูดถึงสเป็กของเครื่อง เช่น
– ใช้เทคโนโลยี e-ink ที่มาจาก MIT Lab (เหมือนกับของโซนีที่ออกมาก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่บูมเท่าไหร่)
– ใช้ได้นาน 30 ชั่วโมง และใช้เวลาชาร์จแค่ 2 ชั่วโมง
– มีข้อดีกว่าโปรแกรม e-reader ที่เราๆ ท่านๆ เคยเห็นกันบน PDA ตรงที่หน้าจอของ Kindle ให้ความรู้สึกแบบหนังสือมากกว่า
– Integrate เข้ากับ Amazon account ทำให้มีระบบ CRM แนะนำหนังสือที่เราชอบ เช่นผมชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับเว็บดีไซน์ ใน Kindle ก็จะมีข้อมูลพวกนี้ของผมอยู่
– Search หนังสือได้
– มีโมเด็มของ Sprint ฝังอยู่ข้างในเครื่องซึ่งทำให้คุณสามารถดาวน์โหลดหนังสือ หนังสือพิมพ์ บล็อกที่ชอบได้ทุกที่ทุกเวลา (ถ้าแถวๆ นั้นมีสัญญาณของ Sprint)
– ราคาประมาณ 13,000 บาท
แถมล่าสุดยังมีข่าวว่าขายเกลี้ยงสต๊อก หักปากกาเซียนที่วิเคราะห์กันว่าจะไม่เวิร์คเพราะยังไงก็ต้องอาศัยแบตเตอรี่
แต่พอดีผมก็มีมุมวิเคราะห์ของผมเองที่อาจจะมองต่างจากคนอื่น ก็เลยมาบอกกันไว้ที่นี่ อ่านกันโลดเด้อครับ
ผมมองว่าเครื่อง Kindle ที่ Amazon ตั้งใจว่าจะสร้างให้บูมเหมือน iPod นั้น ระยะยาวน่าจะประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง ไม่มากไม่น้อยเกินไป คืออุตสาหกรรมเดิมเขาก็อยู่ได้ และ Kindle ก็ไปได้ในระดับหนึ่งไม่น่าจะฟู่ฟ่ามาก เพราะถ้าจะให้เกิดจริงๆ มันต้องมีความสามารถในการทำลายโครงสร้างธุรกิจเดิมเหมือนกล้องถ่ายรูปดิจิตอล กับกล้องถ่ายรูปฟิล์ม
Kindle จะเจอปัญหาเดียวกันกับ iPod ในเรื่องลิขสิทธิ์จากค่ายเพลง แต่ในที่นี้จะมีปัญหากับสำนักพิมพ์
ที่ผ่านมาสำนักพิมพ์เป็นเหมือน “คนกลาง” ระหว่างนักเขียนกับผู้อ่าน ซึ่งจะทำให้ในอนาคตนั้น Amazon คงจะทำรายได้จาก Kindle ได้มากพอสมควร แต่ก็จะเจอบรรดาสำนักพิมพ์ออกมาโจมตีและฟ้องร้องแน่นอน
นอกจากนี้คุณประโยชน์ที่ Amazon ยกมายังไม่เข้มแข็งเพียงพอนั่นก็คือ “ถ้าซื้อผ่าน Kindle ราคาจะถูกกว่า” ตอนนี้ใครอยากจะซื้อหนังสือผ่านทาง Kindle ก็จะซื้อได้ในราคาประมาณ 10 เหรียญเท่านั้น ทำให้บรรดาสำนักพิมพ์ซึ่งขาย Hardcopy มีปัญหาต้องงอนตุ๊บป่องๆ แน่นอน
แต่อย่างไรก็ดี Kindle ก็ยังมีภาษีดีกว่า iPod หน่อยตรงที่ว่า iPod มีคู่แข่งมากมาย อุตสาหกรรมดนตรีก็กำลังปรับตัวเข้าหาดิจิตอลเพื่ออยู่รอดจากการเข้ามาของ MP3 และยืดอายุของซีดีให้นานที่สุด ในขณะที่อุตสาหกรรมหนังสือยังไม่ถูกคุมคามหนักนัก
ปัจจัยสำคัญที่น่าติดตามต่อไปก็คือจะมีใครสร้าง hardware ออกมาแชร์ส่วนแบ่งนี้กับ Amazon มากน้อยแค่ไหน
และเมื่อนั้นตลาดหนังสือก็จะมีการเปลี่ยนแปลง และผู้บริโภคอาจเริ่มมีท่าทีเปลี่ยนไปกับ e-book คนก็จะเริ่มหาเงินจาก Content บนอินเทอร์เน็ตได้จริงมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องพึ่งแต่แพลตฟอร์มโฆษณาตลอดไป
หรือคุณคิดว่าอย่างไร?
ต้องขอลองใช้ดูก่อนว่าเมื่อยตาเร็วหรือไม่ ถ้าเร็วก็ไม่เอาอ่ะ
Each time to load RSS feed you will pay some amount (not sure $1.5)
สวัสดีครับ
ขอนอกประเด็นนิดนึงนะครับ อยากเรื่อง sign in เข้า Y!M 9 หน่อย หลายคนบอกผมว่าว่าเขาลงชื่อเข้าไม่ได้เหมือนกัน
รบกวนนิดนะครับ
http://n-blue.nblogz.net/yahoo-messenger-9-beta-update/#comment-1093
ผมว่า e-book กับคนไทยนี่ อาจต้องใช้ระยะเวลาสักหน่อยนะครับ โดยเฉพาะ อย่างหนอนหนังสือเช่นผม ผมชอบที่จะจับต้องและสามารถชื่นชมกับรูปเล่มได้มากกว่าครับ
มาฝากรบกวนไว้อีกซักเรื่องครับ Y!M เบต้า มีคนแจ้งว่ามีปัญหาใช้งานเว็บแคมไม่ได้ครับ เขาโพสต์ไว้ที่ความเห็นด้านล่างนี้
http://n-blue.nblogz.net/yahoo-messenger-9-beta-with-thai/#comment-1194