เมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมให้รางวัลกับตัวเองด้วยการบินกลับไปพักผ่อนที่กรุงเทพฯ ใช้เวลาอยู่กับครอบครัว และแวะเยี่ยมเยียนเพื่อนๆ ที่ไม่ได้เจอะเจอกันนาน หนึ่งในนั้นก็คือ คุณหนุ่ม เจ้าของ “ร้านหนังสือเดินทาง” ร้านหนังสือเล็กๆ ริมถนนพระสุเมรุ สำหรับคนในแวดวงไอทีบางท่านอาจจะไม่คุ้นเคย ผมขออนุญาตเล่าถึงร้านหนังสือร้านนี้นิดนึงครับ
“ร้านหนังสือเดินทาง” เป็นร้านหนังสือที่คัดสรรแต่หนังสือดีๆ เน้นหนักไปในเรื่องการเดินทาง วรรณกรรม วิชาการ นิยายชั้นดี ทั้งหมดทางร้านจะคัดเลือกหนังสือมาขายเอง ทำให้คุณภาพของหนังสือในร้านขัดกับขนาดของร้านมากมาย (หรือจะเรียกว่า “คุณภาพคับกล่อง คับแก้ว” ก็ได้) แถมด้วยการตกแต่งในร้านแบบเก๋ๆ ทำให้คนที่ทำงานด้านสื่อสารมวลชน นักเขียน นักข่าว ศิลปิน ตลอดจนนิสิต นักศึกษาที่ชอบอ่านหนังสือดีๆ จึงมาหลงเสน่ห์ร้านหนังสือร้านนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้
เย็นวันนั้น หลังจากที่ผมตระเวนไปรอบกรุงเทพฯ ซะเหนื่อย ก็มาหยุดแวะคุยกับคุณหนุ่ม นั่งจิบชากับแซนด์วิชพลางถามสารทุกข์สุขดิบกันเหมือนสมัยก่อน เราคุยกันหลายเรื่อง นับตั้งแต่การเดินทาง การเมือง คนในวงการหนังสือ ศิลปะ และท้ายสุดคุณหนุ่มแกก็ถามว่าตอนนี้ทำงานที่สิงคโปร์เป็นไงบ้าง ผมก็บอกว่าก็ดี ถึงภาวะเศรษฐกิจจะกระทบกับเม็ดเงินโฆษณาไปบ้าง แต่บริษัทก็ยังไปได้ดี ผมยังสนุกกับการทำงานตรงนี้เหมือนเคย
“สนุกก็ดีแล้ว” เถ้าแก่เจ้าเก่าตอบยิ้มๆ
“แล้วพี่ล่ะ” ผมย้อนถาม คุณหนุ่มไม่ตอบอะไร แต่ดูจากรอยยิ้มก็เข้าใจว่าจริงๆ ตั้งแต่วันแรกที่เขาทำร้านหนังสือ เขาก็มีความสุขดีแล้ว เพราะร้านหนังสือถ้าจะว่ากันตามจริง มันไม่ได้มีกำรี้กำไรอะไรมากมาย แต่ว่าหนังสือเป็นสิ่งที่เขารัก การมีอยู่ของร้านหนังสือเดินทางก็เป็นความสุขของเขา และที่สำคัญเขากำลังทำสิ่งที่มีความหมายกับตัวเองและคนรอบข้าง
ไม่รู้ด้วยเหตุผลอะไร ผมยิงคำถามหนักๆ ไปที่คุณหนุ่มว่า “พี่คิดว่าความสุขของพี่คืออะไร” เจ้าของร้านหนังสือเงียบไปครู่หนึ่ง เขาไม่ตอบอะไร แต่แนะนำให้ผมไปดูภาพยนตร์เรื่อง “Departures” แถมบอกว่าดูหนังเรื่องนี้แล้วอาจจะเข้าใจเอง เพราะหนังเรื่องนี้เสียดแทงใจแกมาก ขนาดว่าคุณโยแฟนคุณหนุ่มร้องไห้เสียน้ำตาไปเป็นถังแล้ว
ด้วยความเชื่อเพื่อน กลับมาสิงคโปร์ก็เลยหาซื้อ DVD มานั่งดู และวันนี้ก็ตบเข่าฉาด หนังอะไรฟะ เจ๋งเป็นบ้า!
Departures เป็นเรื่องราวของ “ไดโกะ” นักดนตรีเชลโล่ในโตเกียว วันหนึ่งเจ้าของวงออเคสตร้าประกาศยุบวง ทำให้เขาต้องระเห็ดจากโตเกียวกลับบ้านนอกไปตั้งหลัก พร้อมกับหางานใหม่ แต่งานใหม่ที่เขาได้มาอย่างจับพลัดจับผลูก็คืองานสัปเหร่อ ที่เขาอ่านจากโฆษณาคลาสสิฟายด์ในหนังสือพิมพ์ว่าทำงานกับ “Departure” ไอ้หนุ่มนักดนตรีตกงานคนนี้ก็นึกว่าเป็นงานบริษัทท่องเที่ยว พอไปสมัครงาน รู้ความจริงเข้าลมแทบจับ แต่เจ้าของบริษัทเสนอเงินเดือนให้ 5 แสนเยนต่อเดือน (ราวแสนแปดหมื่นบาทต่อเดือน) พร้อมกับเงินให้ใช้ล่วงหน้า เขาเลยกลับมาบ้านด้วยความมึนงง
จากนั้นไดโกะก็เริ่มงานนี้ จากแรกเริ่มเดิมทีที่ไม่ค่อยชอบงานนี้นัก เขาได้เรียนรู้อะไรหลายต่อหลายอย่างจากนายจ้างของเขา จนทำให้เขาหลงรักงานนี้เข้าจับใจ ในขณะเดียวกันเขาก็ต้องเผชิญกับภาวะขัดแย้งจากคนรอบตัวเช่น เพื่อนบ้าน คนที่เคยรู้จัก หรือแม้กระทั่งภรรยาของไดโกะที่อยู่เคียงข้างกันมาตลอดก็ขอให้เขาลาออกจากงานนี้ซะ เพราะเธอรับไม่ได้ที่จะมีสามีเป็นสัปเหร่อ
สำหรับหนังเรื่องนี้ในรายละเอียดผมไม่ค่อยอยากเล่ามากเพราะอยากให้คุณไปลองดูกันเอง บอกได้แต่ว่าหนังเรื่องนี้ให้แง่คิดแง่งามโดยเฉพาะในเรื่องการทำงาน ในแบบที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง รางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมคงเป็นการันตีได้ว่าผมไม่ได้แนะนำหนังสั่วๆ ให้คุณแน่นอนครับ ดูหนังตัวอย่างจากเว็บไซต์อย่างเป็นทางการได้ที่นี่
ส่วนผมเองวันนี้นั่งดูหนังเรื่องนี้แล้วอินมากครับ ซึ้งอย่างบอกไม่ถูกเลยล่ะ ใครทำงานเหนื่อยๆ มาดูหนังเรื่องนี้แล้วเราจะเข้าใจอะไรอีกเยอะเลย และที่สำคัญชักเข้าใจแล้วว่าการเป็นเจ้าของร้านหนังสือเล็กๆ อย่างคุณหนุ่ม กับการทำงานอินเทอร์เน็ตอย่างที่ผมทำอยู่นี้มันเหมือนกันอย่างไร มีคุณค่าและความหมายทางใจกับเราอย่างไร
