เราคิดวิธีเตรียมตัวตายกันแล้วหรือยัง?

hm_collagecover1chat-with-death

หนังสือ The Last Lecture + Chasing Daylight (ไล่ล่าแสงตะวัน) + นั่งคุยกับความตาย

ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เพิ่งมีโอกาสอ่านหนังสือฝรั่งชื่อดังที่หลายๆ คนคงรู้จักกันดีอยู่แล้ว นั่นคือ The Last Lecture (แปลเป็นไทยโดยคุณหนูดี วนิษา เรซ) ซึ่งเป็นหนังสือที่มีที่มาจากการบรรยายครั้งสุดท้ายในชีวิตของศาสตราจารย์ ด็อกเตอร์ แรนดี้ เพาซ์ ศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยคาเนกีเมลลอน ผู้กำลังป่วยเป็นโรคมะเร็งตับอ่อนในระยะสุดท้าย ผมคิดว่ามีบล็อกเกอร์หลายคนเขียนถึงหนังสือเล่มนี้ไปแล้วว่าดีอย่างไร ผมจะไม่เล่าอีก สนใจไปอ่านกันได้เลยครับ หรือถ้าอยากจะดูการบรรยายของเขาครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยคาเนกี เมลลอน และอีกครั้งที่รายการโอปรา วินฟรี (มีซับไทยให้อ่านด้วยนะครับ)

ขณะเดียวกัน บังเอิญว่านึกถึงหนังสือเล่มนึงที่เคยอ่านได้ นั่นคือ Chasing Daylight หรือ ไล่ล่าแสงตะวัน (แปลเป็นไทย โดยคุณโตมร ศุขปรีชา บก. นิตยสาร GM) ซึ่งเป็นเรื่องอดีตผู้บริหารบริษัท KPMG ยูจีน โอเคลลี่ ผู้เขียนได้เขียนหนังสือเล่มนี้ก่อนตายด้วยโรคมะเร็งสมองขั้นสุดท้าย ซึ่งคุณ Gratunn บล็อกเกอร์คนนึงได้เคยเขียนไว้ อย่างละเอียดดีแล้ว ว่างๆ อยากให้ลองหาอ่านกันดูนะครับ

ที่จริงเรื่องที่แรนดี้และยูจีนเขียนไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเมืองไทยก็มีหนังสือของคุณเชิด ทรงศรี คือ “นั่งคุยกับความตาย” เพียงแต่ผมยังไม่เคยอ่านหนังสือของคุณเชิด แต่ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ นักเขียนแต่ละคนมีวิธีทำใจก่อนตายได้อย่างไร เพราะคนป่วยหนักระยะสุดท้ายถ้าไม่เศร้า ก็ไม่ยอมรับความจริง อ่านแล้วก็ฉุกคิดนะครับว่าเราควรจะเริ่มคิดกันได้หรือยังว่าถ้าเราจะต้องตาย ไปภายในระยะเวลาสั้นๆ นี้จะทำอย่างไร

ผมว่านักเขียนทั้งสามคนนี้มีอะไรคล้ายๆ กันครับสองสามอย่าง 1. ผู้เขียนหนังสือทั้งสามคนเป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายทุกคน และกำลังจะตายในเวลาไม่นาน 2. ผู้เขียนทั้งสามคนยังมีอะไรน่าสนใจในชีวิตอีกเยอะ มีอะไรต้องทำอีกมาก แรนดี้อาจจะสอนที่คาเนกีเมลลอนได้อีกยี่สิบปี ยูจีนอาจจะมาเปิดสาขาในเอเชีย คุณเชิดอาจจะทำหนังเรื่องใหม่อีก และ 3. ที่เหมือนกันผู้เขียนทั้งสามคนระบุไว้ว่าเราจะสามารถทำใจให้ยอมรับความตายได้อย่างไร และสามารถจัดการกับเวลาที่เหลืออยู่อย่างไรอย่างมีสติ

ผมว่าจุดร่วมในข้อสามนี่เป็นหัวใจสำคัญที่เราน่าจะเอามาตั้งคำถามกับตัวเองกันให้มาก และผมเคยลองทำสำรวจอย่างไม่เป็นทางการมาแล้วใน Yahoo! รู้รอบ ลองอ่านคำถามของตูน บอดี้สแลม และคำถามของวงสล็อตแมชชีน แล้วพบว่าพวกเราส่วนใหญ่ยังไม่ได้เตรียมการอะไรสำหรับเรื่องนี้เลย เราคิดกันแค่ว่าถ้ามีเวลาน้อยนิดก็จะอยู่กับครอบครัวให้มากที่สุดและขอให้ตายอย่างสบาย

แต่เรายังไม่ได้ตั้งคำถามกับตัวเองกันเท่าไหร่ว่า เราคิดวิธีเตรียมตัวตายกันแล้วหรือย้ง? ไม่ใช่แค่คิดว่าก่อนตายจะทำใจอย่างไรนะครับ แต่ต้องลงรายละเอียดเลยว่าจะจัดการเรื่องการเงินอย่างไร มีประกันชีวิตหรือยัง คุณจะจากไปแล้วคนข้างหลังคุณล่ะจะลำบากไหม ผมว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องอัปมงคลอะไร แต่คนเราเกิดมาไม่กี่สิบปีก็ตายแล้ว จะยึดติดในลาภยศสรรเสริฐกันไปทำไมมากมาย

ก็ไม่เห็นหรือไงตอนนี้บ้านเมืองวุ่นวายกันใหญ่เพราะไม่ได้ตั้งคำถามว่าจะเตรียมตัวตายกันอย่างไร มัวแต่ตั้งคำถามว่าใครจะชนะใครจะแพ้ ถ้าคิดแบบนี้ก็เกมกันพอดี คนที่แพ้มีแต่ประเทศชาติ น่าเสียดายที่คนเหล่านี้มองไม่เห็นสิ่งสำคัญที่นักเขียนทั้งสามคนเขียนไว้ในหนังสือ นั่นก็คือ “การปล่อยวาง”

ไม่งั้นอะไรๆ ก็คงไม่วุ่นซะขนาดนี้

ควรจะซื้อ iPhone 3G มั้ย? อ่านประสบการณ์ของผมก่อนไหมครับ

เวลาผ่านไปไวเหมือนกันครับ เมื่อเดือนที่แล้วผมบุกไปซื้อ iPhone 3G มาจากตึก Singtel ด้วยราคาประมาณหนึ่งหมื่นบาทเศษๆ และผูกพันสัญญาสองปีและต้องจ่ายรายเดือนๆ ละ 1,000 บาทโดยประมาณ ทาง Singtel เสนอแพลนที่ค่อนข้างโอเคมาให้ผม นั่นคือ SMS ฟรี 500 ข้อความต่อเดือน ฟรี GPRS 1GB และบริการเสริมอื่นๆ อีกเยอะเลย ตอนนั้นเพื่อนผมที่เป็น Blogger ชื่อดังใน Cnet ก็สัมภาษณ์ผมลงบล็อกของเธอในเรื่องนี้อ่านได้ที่นี่ครับ…. ณ ตอนนี้ผมใช้ iPhone 3G มาครบหนึ่งเดือนเต็มๆ แล้ว ส่วนใหญ่เวลาเจอใครเขาก็จะถามกันว่า “เป็นไง iPhone 3G เวิร์คไหม?” สำหรับคนที่ไม่มีเวลาอ่านผมบอกได้คร่าวๆ ว่าจากประสบการณ์คนใช้ PDA, Smart Phone มาเกือบ 10 ปี ผมให้ 8/10 ครับ น่าซื้อมาใช้ครับ แต่น่าใช้อย่างไร มาดูกันเลยดีกว่า

คุณจะรัก iPhone 3G ถ้าหาก…
1. คุณชอบที่จะเื่ล่นเน็ตทุกที่ทุกเวลา iPhone ตอบสนองความต้องการแทบทุกรูปแบบ บราวซ์เว็บต่างๆ ได้ไม่สะดุด เช็คเมล Yahoo! Mail, Gmail ได้คล่องถ้าเล่นเน็ตบนเครื่องมือถืออื่นๆ มันจะไม่สะดวกเท่ากับ Safari ใน iPhone ครับ ยิ่งระบบย่อภาพขยายภาพนี่แจ่มมากๆ แต่สำหรับเมืองไทย ล่าสุดผมลองไปใช้ดูแล้วเราเล่นได้แค่ Edge บอกได้เลยว่าไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ คือ 2.5G กับ 3G ในแง่ของคนใช้งานแล้วผมว่าต่างกันเยอะครับ ดังนั้นตราบใดเมืองไทยยังไม่มี 3G ผมว่ายังไม่น่าใช้เท่าไหร่ครับ

2. คุณไม่ชอบที่จะเรียนรู้วิธีการเขียนของ PDA ระบบเก่า
คุณไม่ชอบใช้ระบบ Word Recognition ของ Windows Mobile หรือ Graffiti ของ Palm Inc. อันนี้จริงๆ แล้วผมชินกับการเขียนบน PDA มาก แต่การใช้ Touch screen เป็นการป้อนตัวอักษรเข้าระบบก็ไม่ได้ทำให้ผมลำบากเท่าไหร่ แถมเวลาขอเบอร์เพื่อนๆ เพื่อนๆ ก็กดได้เลยไม่ต้องมานั่งงงว่ามันเขียนยังไง

3. คุณใช้ Mac
คุณก็สามารถใช้ประโยชน์จาก iPhone ได้เต็มที่ ผมใช้ Mac อยู่จะซิงก์กับ Windows Mobile ก็ไม่เวิร์คแล้วครับ

4. คุณหลงทางบ่อยๆ
คุณไปไหนมาไหนชอบใช้ Map ใช้ GPS ประกอบการดูแผนที่ ล่าสุดผมไปใช้ที่ภูเก็ตมาแล้วเวิร์คมากครับ คือดูแผนที่เราแน่ใจว่าไม่หลงแน่ แต่เราอยากคอนเฟิร์มว่าตอนนี้เราอยู่ไหนแล้วแน่ๆ ก็ดีตรงที่ผมไม่ต้องไปซื้อพวก Garmin มาใช้ สบายดีครับ แต่ก็นะ มันเป็นแค่ Google Map พวก POI หรือ Point of interest ก็ยังไม่เยอะเท่าไหร่

5. ความสามารถด้านมัลติมีเดีย
เช่นการดูวิดีโอผ่าน Youtube ฟังเพลงแบบ iPod เป็นกล้องถ่ายรูปและอื่นๆ ถึงเสียงของ iPod classic จะขับออกมาได้ดีกว่า iPhone แต่ผมก็ไม่แคร์ครับ เพราะ MP3 ยังไงก็ไม่เพราะเท่า CD อยู่แล้ว กล้องถ่ายรูป 2Mega Pixel เหมือนรุ่นอื่นๆ แต่ภาพก็ชัดมากนะครับ คุณภาพเลนส์ดีกว่า Smart Phone หลายๆ รุ่นครับ ส่วนวิดีโออันนี้แล้วแต่ว่าประเทศที่คุณอยู่มี 3G ใช้กันแพร่หลายแค่ไหน

ดูทั่วๆ ไปก็ดูเหมือนว่าซื้อ iPod Touch ดีกว่าไหมเพราะมันก็ไม่ได้ต่างกันมาก จริงๆ แล้วค่อนข้างต่างนะครับ เพราะ iPod Touch จะใช้กับ Wi-Fi ถ้าไปที่ไหนที่ไม่มีคลื่นนี่เสร็จกันเลย ถึงทาง True จะออกมาบอกว่าิติดตั้ง Hot Spot ทั่วกรุงเทพฯ และคอนเวอร์เจนซ์ ซินเนอร์ยี่อะไรของเค้าก็เหอะ แต่ถ้า iPhone ยังไง GPRS ก็ไปถึงครับ อย่างผมนี่ใช้ GPRS ได้เดือนละ 1GB ฟรี ก็เลยเล่นไม่ค่อยบันยะบันยังเท่าไหร่ และการพกพาอุปกรณ์ที่เป็นแบบ All-in-one ถ้าฟังก์ชั่นการใช้งานมันทำได้ดีพอสมควร มันก็น่าใช้ครับ ถ้าเทียบกับเครื่อง HTC ที่ผมเคยใช้เรียกว่า iPhone กินขาดในแง่รูปลักษณ์และฟังก์ชั่นเท่าที่จำเป็น

บางคนอาจจะบอกว่าไม่จริง เพราะตอนนี้ใครๆ ก็บอกว่ามีคู่แข่งของ iPhone ที่ดีกว่าออกมาตั้งเยอะ เช่น HTC รุ่นใหม่ล่าสุดที่ชื่อว่า G1 ที่จะมีระบบปฎิบัติการของ Google ผมเองก็ไม่เคยเห็นครับยังตอบไม่ได้เหมือนกันว่ามันจะดีกว่ายังไง บางคนบอก Samsung i900 ดีกว่าในแง่ของฟังก์ัชั่น ผมลองใช้แล้วก็ดีนะครับ เป็นมือถือ Windows Mobile ที่น่าสนใจทีเดียว แต่ ณ วันนี้ นาทีนี้ iPhone ตอบโจทย์ผมเกือบทุกอย่างครับ  ผมเป็นคนอินเทอร์เน็ต ชอบติดต่อสื่อสารตลอดเวลา เช็คเมลทุกที่ คือมันทำบนมือถือรุ่นอื่นๆ ก็ได้ครับ แต่มันไม่ลื่นไหลใช้ง่ายเท่ากับ iPhone ยิ่งถ้าคุณซื้อเครื่องถูกกฏหมายที่ไม่ต้องมานั่ง jailbreak กันแล้วยิ่งใช้งานง่ายใหญ่เลยครับ

อีกอย่างหนึ่งคุณไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลดโปรแกรมอะไรมาใส่มากมายหรอกครับ เท่าที่มันมีอยู่ก็พอใช้งานแล้ว แต่นักพัฒนาแอพพลิเคชั่นบน iPhone ต่างก็พากันพัฒนาแอพฯ ของตัวเองมาให้เราใช้กันสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็น Yahoo!, Facebook, LinkedIn, eBay, Twitter, Google, etc.

สรุปสำหรับเมืองไทย ถึง iPhone 3G จะดีและน่าใช้แค่ไหน แต่ผมแนะนำว่าเก็บเงินไว้ก่อนครับ อย่าเพิ่งเล่นเครื่องหิ้ว ถ้าอยากเล่นจริงๆ ก็เล่น iPod Touch กันไปก่อนไม่เปลืองแบตดีด้วย เพราะ iPhone ยังไงก็กินถ่านพอสมควรครับ เทคโนโลยีของบ้านเรากว่าจะได้ 3G จริงๆ ผมฟังมาจาก Podcast ใน Macdd.com คุณธนา เธียรอัจฉริยะ ผู้บริหาร Dtac ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าเขาคิดว่าอย่างเร็วก็คงกลางปี 52 คนไทยถึงจะได้ใช้ 3G กัน ซึ่งตอนนั้นน่าจะเป็นไปได้ว่า iPhone รุ่นใหม่ที่ไม่มีปัญหาต่างๆ เช่น เป็นรอยขีดข่วนง่าย, มีปัญหาเรื่องการรับสัญญาณ, ตัว USB Charge มีปัญหาต้องเรียกเก็บคืน อะไรพวกนี้จะถูกแก้ และคนไทยก็น่าจะได้ใช้ของที่ดีกว่าในตอนนั้นครับ

Ode นิตยสารทางเลือกเพื่อความเปลี่ยนแปลงที่ดีของโลก

ในยุคที่สื่อสิ่งพิมพ์ และการเสนอข้อมูลข่าวสารของสื่อมีปัจจัยทางธุรกิจมาเกี่ยวข้อง ทำให้เกิดเป็นสื่อกระแสหลัก (Mainstream Media) ที่เดินตามกระแสทุน กับสื่อทางเลือก(Alternative/Independent Media) ที่เป็นอิสระจากกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ และนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่แตกต่างให้กับผู้อ่าน

Ode เป็นนิตยสารจากยุโรปที่ประกาศตัวเองเป็นนิตยสารทางเลือก ที่มีอุดมการณ์หลักที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลก ด้วยการนำเสนอเรื่องและเหตุการณ์ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีให้กับโลก ผ่านบทความ ข้อเขียน บทสัมภาษณ์ ผลงานการวิจัย และเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นในที่ต่างๆ ทั่วโลก

Jurriaan Kamp และ Helene de Puy สามีภรรยาชาวเนเธอแลนด์ อดีตนักหนังสือพิมพ์และเป็นสมาชิกของกลุ่มนักคิดที่ไดรับการยอมรับในเนเธอแลนด์ เริ่มก่อตั้งนิตยสารด้วยการวาดโครงสร้างของนิตยสารที่ทั้งสองอยากสมัครเป็นสมาชิกหากมีอยู่จริง นิตยสารที่ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจ สืบเสาะหาไอเดียที่สร้างสรรค์ และบทความชั้นยอดมาตีพิมพ์ และที่สำคัญรับโฆษณาเฉพาะสินค้าและบริการที่มีความรับผิดต่อสังคมเท่านั้น

และเขาทั้งสองก็ทำได้สำเร็จในปี 1995 แม้ว่าจะถูกตั้งคำถามจากสื่อด้วยกันว่า Ode จัดอยู่ในนิตยสารประเภทไหน หรือต้องการเปิดประเด็นเรื่องความรับผิดชอบของสื่อ และอีกมากมาย แต่ Ode ก็ได้รับการตอบรับอย่างดีจากกลุ่มผู้อ่าน และใช้การบอกต่อจากกลุ่มผู้อ่านถึงเพื่อนๆ โดยสมาชิกสามารถส่งนิตยสารให้เพื่อนได้ฟรีโดย Ode เป็นผู้จัดส่งให้ ด้วยวิธีนี้ทำให้ Ode มีกลุ่มผู้อ่านที่เรียกได้ว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ปัจจุบัน Ode เป็นนิตยสารรายเดือนที่ตีพิมพ์สามภาษา คือ ดัทช์ โปรตุเกส และอังกฤษ และมีนักเขียนประจำที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติอย่าง Paulo Celho นักเขียนชาวบราซิล Noam Chomsky นักภาษาศาสตร์ และนักวิเคราะห์การเมือง และมีขาจรอย่าง Arundhati Roy, Bono วง U2,Sting,RobertRedford, Naomi Wolf และอีกมากมาย

ถ้าอยากรู้ว่า Ode เป็นทางเลือกที่แตกต่างอย่างไร ลองเข้าไปดูได้ที่ odemagazine.com

"Search Engine for Everyday Life" Seminar

เมื่อประมาณช่วงต้นปีผมมีโอกาสได้ไปแชร์ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ Search Engine สำหรับพนักงานภายในกลุ่ม Shin เนื่องทางกลุ่มฯ มีนโยบายที่จะให้พนักงานในแต่ละ BU (Business unit) มา Demonstrate เรื่องอะไรก็ได้ที่ตัวเองถนัด ในโครงการที่ชื่อ “I Demo” ผมเองทำแผนกอินเทอร์เน็ตที่ไทยแลนด์ เยลโล่เพจเจส ก็เลยคิดว่า เอ๊ เราพอพูดเรื่อง Search Engine ได้นะ เราหา Content จาก Search Engine ก็บ่อย แต่มันมีประเด็นว่าจะใช้ Search Engine ในที่ทำงานอย่างไรให้เวิร์ค พี่ ๆ ที่กลุ่มชินฯ เขาก็สนใจครับ เพราะมันเน้นไปในเรื่องการ Search สำหรับการทำงาน

งานนี้เราก็เลยจัดเป็นสัมมนาขึ้นมาเล็ก ๆ ชื่อว่า “I Search” ผมเองก็เกร็ง ๆ ครับ ไม่เคยต้องพูดต่อหน้าคนเยอะ ๆ เหมือนกัน แถมพี่ ๆ HR ที่บริษัทก็บอกว่าเฮ้ย ไม่เยอะหรอก 20-30 คนเอง แต่หลังจากโปรโมทออกไป ปรากฏว่าคนสมัครมาตั้ง 80 คน เล่นเอาห้องที่เลือกไว้ตอนแรกต้องเปลี่ยนไปเป็นห้องที่ใหญ่ขึ้น (อิอิ ภูมิใจ) เอาเข้าจริง ๆ มาประมาณ 70 คน พี่ ๆ HR จากทั้งที่กลุ่มฯ และที่บริษัทมาช่วยกันแจก Handouts แต่เช้า

งานนี้เริ่มตั้งแต่ 9 โมงเช้า ไปเสร็จเอาเกือบ ๆ เที่ยง สไลด์ที่เตรียมมาได้ใช้หมดจนครบ ผมอยากเล่าบรรยากาศให้ฟัง (อ่าน) เหมือนกันครับ แต่ไม่ได้ถ่ายภาพเก็บไว้ เป็นอันว่าผมเอา ไฟล์ Presentation มาให้ดาวน์โหลดอ่านกันนะครับ ผมทำมาเป็น PDF ครับเหมาะสำหรับการพิมพ์ดีครับ ถ้าเอาไปใช้ที่ไหนช่วย refer มาด้วยนะครับ

การตลาดออนไลน์สไตล์ Amazon.com (ฉบับย่อ)

First publish on www.manager.co.th 22 February 2005
Revise on 5 May 2006

Hello, Jakrapong. We have recommendations for you. (If you’re not Jakrapong, click here.)

ใครที่ชอบแวะไปซื้อข้าวซื้อของในเว็บไซต์ Amazon.com คงจะคุ้นเคยกับประโยคทักทายผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ข้างบนดีนะครับ เมื่อหลายตอนที่ผ่านมาผมเคยเขียนถึงเจฟฟ์ เบโซส์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Amazon.com ไปแล้วหนหนึ่ง เกี่ยวกับประสบการณ์และความสำเร็จที่เกิดมาจากบุคลิกภาพเชิงบวกของเขา

วันนี้เรามาติดตามกันต่อว่า จากวันนั้นถึงวันนี้เขาเดินหน้าไปถึงไหนแล้วเมื่อเจฟฟ์เปิดตัวเว็บไซต์ Amazon.com เมื่อสิบปีที่แล้ว Amazon.com ซึ่งเป็น Virtual Bookstore สามารถเสนอขายหนังสือในเว็บไซต์ได้มากมายมหาศาล ซึ่งมากเกินกว่าที่ร้านหนังสือจริงจะทำได้ ในช่วงนั้นชื่อเสียงและราคาหุ้นของ Amazon.com จึงพุ่งแรงอย่างฉุดไม่อยู่ แต่แล้วเมื่อธุรกิจดอทคอมพังพาบลงอย่างสิ้นท่า สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือ เขาในฐานะหัวเรือใหญ่ของธุรกิจดอทคอมจะต้องดำเนินธุรกิจต่อไปให้อยู่รอดให้ได้

วันเวลาผ่านไป… ธุรกิจของเขาสามารถขายสินค้าไม้จิ้มฟันยันเรือรบได้มากกว่า 20 ล้านรายการ และทำรายได้มากถึง 6 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ แม้จะยังไม่มีรายงานมาว่าเขาได้กำไรหรือยัง แต่คำพูดของเบโซส์ยังคงเป็นสิ่งที่น่าสนใจอยู่เสมอ

ผมสรุปจากบทสัมภาษณ์ของเขาจากสื่อหลาย ๆ แห่ง และบวกเข้าไปกับแนวทางการซื้อขายออนไลน์มาเป็นข้อ ๆ เผื่อว่าจะมีประโยชน์กับคุณผู้อ่านนะครับ

1. เรารู้ว่าอะไรที่อินเทอร์เน็ตทำได้ อะไรที่คู่แข่งทำไม่ได้

Amazon.com ยังคงใช้ความได้เปรียบในธรรมชาติของสื่อออนไลน์ในการเสนอขายสินค้าจำนวนมหาศาล (โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังสือ) และหาทางสร้างโอกาสในการแข่งขันกับร้านหนังสือทั่วไป ด้วยการเปิดโอกาสให้ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ใช้ feature “Search Inside” เหมือนกับการพลิกดูหนังสือได้ในร้านจริง (ซึ่งเจฟฟ์อ้างว่าทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 9 เปอร์เซ็นต์ของหนังสือทั้งหมด)

ทั้งยังพยายามดึงระบบบริหารลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) มาใช้ โดยให้ระบบจดจำลูกค้าเป็นรายบุคคล ว่าลูกค้ามีพฤติกรรมเลือกซื้อหนังสือแบบไหน แล้วจ้างทีมงานจัดทำบทแนะนำหนังสือขึ้นมา พร้อมกับเสนอหนังสือราคาพิเศษในหมวดเดียวกันเข้าไปเจฟฟ์เผยว่าเขาพยายามกระตุ้นเร้าความต้องการส่วนลึกของลูกค้า

เช่น เขาทำวิจัยพบว่าลูกค้าที่ค้นหาหนังสือเกี่ยวกับลัทธิเซ็น จะเป็นกลุ่มที่ชอบความเรียบง่าย และชอบที่จะจัดระเบียบชีวิต และคนกลุ่มนี้จึงต้องการที่จะรู้ว่าทำอย่างไรให้การใช้ชีวิตในที่ทำงานเป็นสิ่งเรียบง่าย ซึ่งไปตรงกับหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับการจัดโต๊ะที่ทำงานให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เจฟฟ์ได้หยอดเอาคำว่า “จัดโต๊ะทำงานให้เรียบร้อย” เข้าไปในคำค้นหาหนังสือ ปรากฏว่ามีลูกค้าคลิกเข้าไปอ่านและตัดสินใจซื้อจำนวนมาก

นอกจากนี้เขายังให้เหตุผลทางการตลาดเพิ่มเติมอีกด้วยว่า ในโลกออฟไลน์เราจะต้องเสียค่าทำการตลาดมหาศาลสำหรับสินค้าที่ “เชื่อว่าจะขายได้” และ “คุ้มที่จะขาย” เราคงไม่ทุ่มงบการตลาดลงไปกับสินค้าที่ทำออกมาแล้วมีคนซื้อกลุ่มเล็ก ๆ หรือสินค้าที่มีตลาดเฉพาะ เพราะอาจเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า แต่ใน Amazon.com เจฟฟ์เผยว่า เขาสามารถขายสินค้าเหล่านี้ได้

1. หนังสือหายาก
2. หนังสือที่ไม่มีชื่อเสียงมากนัก
3. หนังสือที่ไม่ได้เป็นหนังสือติดอันดับขายดี
4. หนังสือที่มีชื่อเสียงในกลุ่มเฉพาะ

การขายหนังสือเหล่านี้ด้วยต้นทุนทางการตลาดที่ต่ำ ทั้งยังเป็นสิ่งที่บรรณาธิการหนังสือ และเจ้าของร้านหนังสือทั่วไปไม่สามารถทำได้ดี (เว้นเสียแต่จะอ่านหนังสือของตัวเองอย่างละเอียดทุกเล่ม) แต่อินเทอร์เน็ตสามารถทำได้ และที่แน่ ๆ มันเวิร์ค ซึ่งจะว่าไปแล้ว ลองยกตัวอย่างเล่น ๆ ว่าถ้าหากค่ายเพลงในบ้านเราอย่างแกรมมี่ อาร์เอสจะลองทำเว็บไซต์ขายสินค้าแบบ Back Catalog ดูบ้าง เพราะตัวเองก็มีสินค้าเก่าหายากอยู่มากมาย ก็ไม่น่าจะยากจนเกินไป

2. พลังของ Community ยังคงสำคัญ และต้องทำต่อไป

เจฟฟ์เคยให้สัมภาษณ์ว่าเขาให้ความสำคัญกับพลังชุมชนของลูกค้า โดยการเปิดเวทีให้ลูกค้าได้แสดงความคิดเห็นในตัวสินค้ามาโดยตลอด อย่างที่เคยทำกับฟีเจอร์ “List Mania” ที่จะมีลูกค้าซึ่งระบุว่าตัวเองมีทักษะพิเศษในด้านนั้น ๆ มาวิพากษ์วิจารณ์ว่าหนังสือเล่มนี้ดี และไม่ดีอย่างไร ทำไมถึงชอบ ทั้งยังเปิดให้ลูกค้าโหวตด้วยว่าความคิดเห็นของคนที่มาวิพากษ์วิจารณ์สินค้านั้นเป็นการเชียร์สินค้าออกอาการ “โอเวอร์” เกินไปหรือเปล่า

ทั้งยังจับกลุ่มผู้นิยมสินค้ามือสอง ในลักษณะ C2C อันเป็นลักษณะพิเศษของสินค้าออนไลน์ และตอกย้ำความสำเร็จของ feature ดั้งเดิมอย่าง “Wish List” ที่ทำหน้าที่เป็นตัวคอยเตือนให้ลูกค้าจำได้ว่าเคยอยากได้หนังสือเล่มนี้ โดยเพิ่มคุณลักษณะของ Wish List เพิ่มไปอีกว่าจะแชร์ให้คนอื่นที่เป็นเพื่อน หรือญาติพี่น้องของคุณทราบหรือไม่ว่าคุณมี Wish List แบบนี้ แน่นอนว่าบรรดาญาติ ๆ คุณคงไม่ใจจืดใจดำลืมไปว่าคุณอยากได้อะไรในช่วงเทศกาล

นี่แหละเป็นวิธีเพิ่มยอดขายในแต่ละช่วงเทศกาลได้เป็นอย่างดี

จะว่าไปแล้วเจฟฟ์ไม่ได้ทำเพียงสร้าง Community ขึ้นมา แต่เจฟฟ์กำลังเล่นอยู่กับพลังของเครือญาติ อันเป็น Community ที่เป็นสถาบันของสังคม และยังสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของบริษัทในการสร้างเสริมความสัมพันธ์ของสถาบันครอบครัวอีกด้วย

3. คนมักจะสับสนและลังเลว่าสินค้าที่ไม่ดังจะมีคุณภาพต่ำ

เจฟฟ์ให้สัมภาษณ์ในนิตยสาร WIRED ฉบับเดือนมกราคม ปี 2548 ว่า “People confuse obscurity with bad service” ซึ่งจับใจความในประโยคทั้งหมดได้ว่า คนทั่วไปมักจะสับสนและลังเลว่าสินค้าที่ไม่ดังจะมีคุณภาพต่ำ และอาจกระทบการตัดสินใจซื้อสินค้า ซึ่งตรงนี้ยังรวมไปถึงสินค้าที่ obscure หรือดูคลุมเครือ

เช่น ตั้งชื่อหนังสือไม่ชัดเจน ก็จะทำให้หนังสือดูมีมูลค่าลดลงไป ในโลกอินเทอร์เน็ต เจฟฟ์เผยว่าเขามี feature อยู่หลายตัวที่ทำให้ผู้บริโภคเชื่อมั่นในตัวสินค้ามากยิ่งขึ้น คล้ายกับที่หลายคนเคยใช้บริการในเว็บไซต์วิพากษ์วิจารณ์สินค้าอย่าง Epinions.com อาจจะดูเป็นเรื่องปกติทั่วไปที่สินค้าที่ไม่ดัง และดูจะมีความคลุมเครือ หรือไม่แน่ใจว่าจะใช้ประโยชน์ได้คุ้มค่าหรือเปล่า ที่ผู้ซื้อจะไม่แน่ใจ จะต้องมีการอธิบายคุณประโยชน์ของสินค้า หรือเลยไปถึงการโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งตรงจุดนี้เราจะเห็นได้ว่าการขายสินค้าใด ๆ ในโลกแห่งความเป็นจริง ปัจจัยสำคัญอันหนึ่งอยู่ที่พนักงานขาย แต่ในโลกออนไลน์ปัจจัยสำคัญอยู่ที่ Content ที่จะมาสร้างความชัดเจน

4. ทำให้ลูกค้าเชื่อให้ได้ว่าในโลกนี้มีสินค้าที่ “ดีและถูก”

ในโลกอินเทอร์เน็ตถ้าใครที่ติดตามการดำเนินงานของ Amazon.com มาตลอดจะรู้ว่า เจฟฟ์ทุ่มงบโฆษณามหาศาลในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เขาเคยจ่ายไปกับแคมเปญโฆษณายาว 15 เดือนติดกัน ในหลาย ๆ รัฐ แต่จู่ ๆ เขาก็เลิกให้ความสำคัญกับสื่อโทรทัศน์ โดยให้เหตุผลว่า

ที่จริงแล้วการโฆษณาทางสื่อที่ mass หรือเข้าถึงมวลชนได้มากนั้นคุ้มค่า แต่สำหรับเขามันยังคุ้มไม่พอที่เขาจะต้องจ่ายมากขนาดนั้น แทนที่จะต้องจ่ายกับการโฆษณา เขาคิดว่าเอาเงินเหล่านั้นมาคืนกำไรลูกค้าด้วยการเอาเงินไปทุ่มกับการลดราคาสินค้าลง และเสนอการขนส่งฟรีให้กับลูกค้าเพื่อเพิ่มยอดขายจะดีกว่า ซึ่งเจฟฟ์อ้างว่าเพิ่มยอดขายได้อย่างน่าพอใจและตรงนี้เองที่เจฟฟ์เชื่อว่ามันจะกลายเป็นกระแสที่ผู้ประกอบการดอทคอมจะหันมาใช้กัน เนื่องจากการบริหาร Customer experience เป็นเรื่องสำคัญ

เหมือนกับที่นักวิชาการทางการตลาดหลายคนพยายามกล่าวอ้างทฤษฎี CEM หรือ Customer Experience Management มากขึ้นทุกวัน ต่อไปนี้การกล่าวอ้างสรรพคุณว่าบริการของตนดีแค่ไหน จะลดน้อยลง แต่สิ่งที่จะได้ผลกลับเป็นวิธีง่าย ๆ นั่นก็คือกลยุทธ์ ปากต่อปาก หรือ Word of Mouth marketing นั่นเอง“ไม่จำเป็นต้องบอกใครว่าคุณดี แต่ดีให้เขาเห็น” น่าจะเป็นคำพูดที่จริง ไม่ว่าจะเป็นออนไลน์หรือออฟไลน์

– – – – – – –

อย่างไรก็ตาม เจฟฟ์ก็ออกตัวว่าถึงการตลาดแบบปากต่อปากจะมีบทบาทมากยิ่งขึ้น แต่การโฆษณาก็ไม่ได้หายไปเสียเมื่อไหร่ หากแต่มันจะเกิดความสมดุลกันระหว่างการโฆษณาประชาสัมพันธ์และคุณภาพที่แท้จริงของสินค้าและบริการ ซึ่งส่วนตัวแล้วเขาคิดว่าถ้าหากสูตรสำเร็จในการทำการตลาดวันนี้อยู่ที่การโฆษณาประชาสัมพันธ์ว่าบริการคุณดีแค่ไหน 70 เปอร์เซ็นต์ และอีก 30 เปอร์เซ็นต์อยู่ที่การทำให้สินค้าและบริการมีคุณภาพมากขึ้น อีก 20 ปีข้างหน้า สูตรสำเร็จดังกล่าวจะต้องกลับกันอย่างแน่นอน

จากที่เล่ามาทั้งหมดนี้ เสาหลักของวงการดอทคอมก็ยอมรับว่าสิ่งหนึ่งที่อินเทอร์เน็ตยังทำได้ไม่สมบูรณ์ก็คือการพบปะลูกค้าแบบ Face-to-face เพราะคนเป็นสัตว์สังคม เรายังต้องการที่จะมีปฎิสัมพันธ์ พูดจาประสาเพื่อนกันกับคนอื่น ๆ แต่อินเทอร์เน็ตก็ยังเป็นสื่อที่ทรงพลังในการขาย และเชื่อได้เป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจใหม่ของโลกยุคสารสนเทศ จะเห็นได้ว่าเจฟฟ์พยายามสร้างเครื่องมือทางการตลาดของเขาออกมาอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็น Search Engine A9.com ของเขาที่เพิ่งจะจับมือกับเจ้าของธุรกิจฐานข้อมูลขนาดใหญ่อย่าง สมุดหน้าเหลือง หรือ YellowPages ไปหมาด ๆ

สำหรับประเทศไทย หากเรานำความคิดของเจฟฟ์มาปรับใช้ทั้งหมดอาจจะเป็นไปได้ยาก เพราะธรรมชาติของคนใช้อินเทอร์เน็ตไทยเป็นคนที่เรียกร้องความเป็นกันเองสูง ปัจจัยนี้จึงเป็นปัจจัยสำคัญตัวหนึ่งที่ทำให้คนไทยยังชอบที่จะซื้อของแบบธรรมดาอยู่ เพราะได้เจอะเจอกับพนักงานขาย มีการต่อรองราคาแบบหั่นแหลก และลูกล่อลูกชนอีกสารพัด บวกกับกระแสการเก็บเงินผ่านทางโทรศัพท์มือถือ (M-Payment) ยังไม่ง่ายต่อการใช้งาน และเป็นธรรมชาติมากเพียงพอ คนก็ยังอยากจะซื้อของแบบเดิมอยู่ ไม่เหมือนกับคนบางประเทศ อย่างประเทศสวีเดนที่มีภูมิประเทศที่ทำให้คนเดินทางลำบาก จนคนหันมาใช้อีคอมเมิร์ซกันในระดับที่น่าพอใจ

หนังสือและบทความแนะนำอ่านเพิ่มเติม

พ็อกเก็ตบุ๊คส์
1. Amazon Hacks 100 Industrial-Strength Tips & Tools โดย Paul Bausch สำนักพิมพ์ O’Reilly
2. Content Critical โดย Gerry Mcgovern และ Rob Norton สำนักพิมพ์ FT Prentice Hall

นิตยสาร
1. เรื่องจากปก นิตยสาร PC World ปีที่ 2 ฉบับที่ 18 ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2548 หน้า 782
2. คอลัมน์ Is it IT? โดย ดร.มะนาว นิตยสาร a day weekly ปีที่ 1 ฉบับที่ 39 11-17 กุมภาพันธ์ 2548 หน้า 95

อำนาจของ Search Engine กับ “ขาลง” ของเว็บ Portal

First publish on www.manager.co.th by Jakrapong Kongmalai (16 September 2004)
Revised by Jakrapong Kongmalai (30 April 2006)

คุณผู้อ่านทุกท่านคงจะมีเว็บไซต์สุดโปรด 5 อันดับแรกอยู่ในใจ และผมเชื่อเหลือเกินครับว่า 1 ใน 5 นั้น จะต้องมีเว็บไซต์ประเภท Search Engine อย่าง Google และ Siamguru ประดับอยู่บ้าง ต่อจากนั้นก็คงจะเป็นเว็บไซต์ท่า (Portal Site) ที่มีลิงก์ให้คุณค้นหาข้อมูลต่อไปเรื่อย ๆ หากลองสังเกตจาก 5 เว็บไซต์โปรดที่คุณเข้าบ่อย ๆ นี้ คุณเคยสังเกตไหมครับว่ามันสะท้อนพฤติกรรมในการค้นหาข้อมูลของคุณอย่างไร?

ประเด็นที่ผมจะเสนอต่อนี้ไปส่วนใหญ่ผมคิดเอง บางส่วนอ้างอิงแนวคิดของต่างประเทศมา เพราะเห็นว่ามันน่าจะเข้ากันกับสังคมอินเทอร์เน็ตไทย ถ้าคุณไม่เห็นด้วย กรุณาโต้แย้งพร้อมเหตุผลในเว็บบอร์ดเพื่อต่อยอดทางความคิดกันด้วยนะครับ

เมื่อพูดถึงการค้นหาข้อมูลในสมัยอินเทอร็เน็ตเข้ามาเมืองไทยในยุคแรก ๆ เว็บไซต์ประเภท Search Engine ก็เป็นเว็บไซต์ประเภทหนึ่งที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงว่าเป็นเว็บไซต์แห่งอนาคต แต่ ณ เวลานั้น Search Engine ที่เป็นสัญชาติไทยอย่าง Siamguru.com ก็ยังไม่ได้โด่งดังและถูกพัฒนาขึ้นมามีประสิทธิภาพเหมือนในปัจจุบันทางออกของการสืบค้นข้อมูลไทยในยุคนั้นจึงหนีไม่พ้นการพึ่งพา Portal Site ที่เรารู้จักกันดี เช่น Sanook.com, Hunsa.com, Siam2you.com ฯลฯ เนื่องจากเว็บไซต์เหล่านี้ได้รวบรวมลิงค์ที่น่าสนใจไว้มากมาย ผู้ใช้เพียงมองหาสิ่งที่ตนกำลังหาจาก directory ที่สนใจแล้วลองคลิกเข้าไปเรื่อย ๆ จนเจอเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลได้ตรงกับที่ต้องการ

แต่ ณ วันหนึ่งที่เว็บไซต์อย่าง Google.co.th เขยิบตัวเองเข้ามาในเมืองไทยด้วยความสามารถในสืบค้นข้อมูลภาษาไทยได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วจนกลายเป็นเว็บไซต์ยอดนิยมอย่างรวดเร็ว จนผู้บริหารเว็บ Portal ต่าง ๆ ต้องหันมาดูว่า Google จะขยับตัวอย่างไรต่อไป ส่วนทางด้านเว็บไซต์แบบเดียวกันอย่าง Siamguru.com ก็ต้องออกมาพูดเลยทีเดียวว่าได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน และประกาศ re-positioning Siamguru.com ว่าเป็นเว็บไซต์ Search Engine ที่ใช้ค้นหา content ภาษาไทยได้ดีที่สุด ชูจุดเด่นความเป็นเว็บไซต์ท้องถิ่นไว้เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ว่าเว็บไซต์ของคนไทยย่อมหาข้อมูลของไทยได้ดี

จากการวิเคราะห์จากเอกสารที่รวบรวม ผลที่ออกมาก็คือ พฤติกรรมการสืบค้นข้อมูลของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตชาวไทยในปัจจุบันกำลังเปลี่ยนไปจากเมื่อ 5-6 ปีก่อนอย่างสิ้นเชิง จากการพึ่งพาเว็บไซต์ท่าด้วยการควานหาลิงก์ให้เจอ แล้วค่อย ๆ ละเลียดตามหาเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลเฉพาะในด้านที่ตัวเองต้องการเปลี่ยนมาเป็นการพิมพ์ Keyword เพียงไม่กี่คำลงในช่องว่าง ก็ได้คำตอบออกมาในลักษณะ Answer Machine เพราะเว็บไซต์แต่ละแห่งก็มี MetaTag ที่รองรับการทำงานของ Search Engine อยู่แล้ว

นั่นหมายความว่าพฤติกรรมในการหาข้อมูลผ่านทางเว็บไซต์ท่าจะลดลง แต่ Search Engine จะมีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากการสืบหาข้อมูลได้ถูกตีกรอบให้แคบลงตรงกับความต้องการข้อมูลแบบรวดเร็วปัจจุบันทันด่วน และเฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้นในวันที่โลกของข้อมูลข่าวสารล้นทะลัก Portal Site กำลังนำเสนอข้อมูลในภาพกว้างๆ ซ้ำๆ กันหลายอย่าง อาทิ เรื่องกิน เรื่องเที่ยว เรื่องเซ็กซ์ เรื่องในชีวิตประจำวัน หันไปทางไหนก็มีเว็บไซต์ท่านำเสนอข้อมูลเหล่านี้ทับซ้อนกัน

ในขณะที่ผู้ใช้กำลังประสบกับ “ประสบการณ์การสับสนทางข้อมูล” ไม่รู้จะเริ่มหาข้อมูลจากแหล่งข้อมูลไหนดี คำถามประเภทนี้ก็เพิ่มขึ้นทุกวัน
“Content ไหนจะดี มีคุณภาพ? จะได้รีบคลิก ไม่อยากเสียเวลาหา”
“Content อันนี้น่าจะดีนะ น่าจะใช้ แต่ฉันจะคลิกมันดีไหม เธอคิดว่าไง?”
“อืม เรื่องนี้ก็ดีนะ แต่ฉันอยากค้นจาก Search Engine เพิ่มอีกว่ามีข้อมูลที่ละเอียดกว่านี้อีกไหม”

จากอัตราการเติบโตของผู้เยี่ยมชมเว็บ Portal ที่ช้าลงไม่เป็นไปอย่างก้าวกระโดดอย่างในอดีต ในขณะที่เว็บไซต์ที่สร้างสรรค์ข้อมูลด้วยตนเอง มีข่าวสารข้อมูลที่เฉพาะและแยกย่อยลงไปหาคนใน segment ที่ละเอียดมากยิ่งขึ้นกลับได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ (เช่น เว็บไซต์สื่อมวลชนไทยแขนงต่างๆ ที่ให้กองบรรณาธิการนำเสนอข่าวสารและข้อมูลด้วยกลยุทธ์การจัดการข่าวสารข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ จะได้รับความสนใจและมีอันดับสูงมากขึ้นเรื่อยๆ จากการจัดอันดับใน Truehits.net )เว็บไซต์ที่นำเสนอข้อมูลที่เฉพาะและแยกย่อยแบบ Niche Market เหล่านี้ต่างหากที่จะตอบสนองความต้องการของกลุ่มคนที่ใช้ “Search Engine” ในฐานะ “Answer Machine” เพราะข้อมูลที่ละเอียดและลึกคือคำตอบ ไม่ใช่เพียงเว็บไซต์ที่เป็นแหล่งรวมลิงค์ของข้อมูลทั่ว ๆ ไป

จากนี้ไปการสร้างเว็บไซต์ที่ดีประการหนึ่งจึงจำเป็นที่ควรจะสร้างเว็บไซต์ที่มีคำตอบอย่างละเอียดให้กับผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ ที่จะค้นหามันจาก Search Engine ได้ง่าย ท่ามกลางโลกของข่าวสารที่ต้องการคำตอบแบบฉับไว ส่วนเว็บ Portal ที่มีอยู่จะต้องบูรณาการเอา Search Engine มาใช้กับฐานข้อมูลที่ถูกปรับเป็นฐานความรู้ที่ให้คำตอบกับผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ได้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันในอนาคตอันใกล้ เราอาจเห็นเว็บไซต์ Portal ชื่อดังเว็บใดเว็บหนึ่ง และ Search Engine ในประเทศไทยควบกิจการกันก็เป็นได้

Reference:- When Search Engines Become Answer Engines โดย Jakob Nielsen August 16, 2004
– Where Google Is Headed โดย Charlene Li February 23, 2004